“รัตติกาลช่างมืดมนและเต็มไปด้วยสิ่งน่ากลัว”


หากพูดถึงซีรีส์ Game of Thrones หรือ มหาศึกชิงบัลลังก์ เชื่อว่าแทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะถึงแม้จะไม่เคยดู แต่อย่างน้อยก็ต้องเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง แหละจริงมั้ย?



Game of Thrones เกี่ยวกับอะไร?

Game of Thrones มีเนื้อหาเกี่ยวกับทวีปเวสเทอรอสและเจ็ดอาณาจักรที่มีผู้คุมอำนาจหลักๆ อยู่สี่ตระกูลคือ ตระกูลบาราเธี่ยน (ตระกูลที่ใช้สัญลักษณ์เป็นกวาง), ตระกูลแลนนิสเตอร์ (ตระกูลที่ใช้สัญลักษณ์เป็นสิงโต), ตระกูลทาร์แกเรี่ยน (ตระกูลที่ใช้สัญลักษณ์เป็นมังกรและมีความสามารถในการควบคุมมังกร) และตระกูลสตาร์ค (ตระกูลที่ใช้สัญลักษณ์เป็นหมาป่าและมีหมาป่าไดร์วูฟเป็นสัตว์เลี้ยง) โดยบางตระกูลเป็นพันธมิตรกัน และบางตระกูลเป็นอริจ้องจะล้างบางกันมาอย่างยาวนาน


เรื่องราวทั้งหมดในซีรีส์เริ่มต้นด้วยการที่กษัตริย์โรเบิร์ต บาราเธี่ยน เดินทางมายังแดนเหนือเพื่อเชื้อเชิญให้เน็ด สตาร์ค ไปทำหน้าที่เป็นมือขวาที่เมืองหลวง เนื่องจากมือขวาคนล่าสุดได้เสียชีวิตลงก่อนเวลาอันควรด้วยสาเหตุบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล แต่แล้วกลับมีเหตุการณ์ๆ นึงที่เป็นเหตุการณ์เล็กๆ แต่สำคัญ และจุดชนวนให้เกิดปมขัดแย้งใหม่จนทำให้มันดำเนินเรื่องราวมาอย่างเข้มข้นจนถึงปัจจุบันนี้เลยทีเดียว



จุดเด่นของ Game of Thrones ทำไมเรื่องนี้ถึงไม่เหมือนเรื่องไหนๆ ที่เคยมีมา?

“เชียร์ตัวไหนชอบตัวไหน ตัวนั้นต้องตายทุกที” นี่เป็นคำที่หลายๆ คนคงได้ยินแฟนๆ  Game of Thrones พูดกันอยู่บ่อยครั้ง ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่ค่อนข้างจะ “เรียล” และ “ดาร์ก” ครับ ฉะนั้นมันจึงไม่เหมาะกับคนที่ต้องการดูอะไรสดใสฟรุ้งฟริ้งหรือแสวงหาเรื่องราวประเภทคนดีชนะคนชั่วเลยสักนิด

นั่นก็เพราะผู้แต่งนิยายต้องการจะบอกเราว่า “โลกความจริงมันโหดร้าย” ตัวละครทุกตัวจึงตายได้หมด และที่สำคัญคือ การตายแต่ละครั้งจะมาโดยที่คุณไม่ทันตั้งตัว และจะทำให้คุณช็อกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชนิดที่เหมือนอยู่ในช่วงแผ่นดินไหวระดับ 10 ริกเตอร์เลยทีเดียว แถมบางตัวละครตายด้วยวิธีที่ไม่น่าตายสุดๆ คือถ้าได้ไปดูเองจะไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่เลยครับว่าทำไมคนเขาถึงด่าลุงอ้วนผู้แต่งกันขนาดนั้น


ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ Game of Thrones ครองใจแฟนๆ ทั่วโลกคือตัวบทและเนื้อเรื่องที่เข้มข้นน่าติดตาม จากเท่าที่เห็นแทบจะไม่มีใครดูตอนแรกจบแล้วไม่อยากดูต่อเลยครับ ซีรีส์มีการวางปมและโครงสร้างเรื่องอย่างแข็งแรงแบบแทบไม่มีช่องโหว่ เพราะมันเป็นการวางโครงเรื่องระยะยาวที่คิดอย่างถี่ถ้วนแบบล่วงหน้าหลายซีซั่น ความน่าสนใจคือการที่ตัวละครหลักเรื่องนี้มีหลายตัวและอยู่กระจัดกระจายกัน เราจึงได้รับชมเรื่องราวหลายๆ ด้านหลายๆ ฝั่งสลับกันไปมา ซึ่งแต่ละด้านก็ไม่ได้พีคน้อยไปกว่ากัน และการเฉลี่ยบทก็ทำได้ดีจนน่าทึ่งเลยด้วย
และสิ่งนึงที่ทำให้ Game of Thrones สนุกคือ บทสนทนาที่เปรียบเสมือนฉากแอ็กชั่นของเรื่องนี้ การที่ตัวละครพูดจาเชือดเฉือนกันเป็นอะไรมันและทำให้เราใจจดใจจ่อได้ตลอด ซึ่งถึงฉากต่อสู้จริงๆ จะมีน้อย แต่พอมีทีนึงแล้วมันขลังสุดๆ เลยนะเออ


ซีรีส์ดี นักแสดงโดน ความแฟนตาซีมาเต็ม

ซีรีส์เรื่องนี้ยังมีการเฉลี่ยบท และออกแบบตัวละครที่ดีขั้นเทพ ตัวละครที่คุณจะได้เจอจะเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีมิติ และมีความเป็นมนุษย์มากๆ เพราะสีของตัวละครแทบทุกตัวจะไม่ขาว ไม่ดำ แต่เป็น “สีเทา” ส่วนการแคสนักแสดงก็เพอร์เฟ็กต์สุดๆ นักแสดงแต่ละคนเข้ากับบทบาทแบบที่เรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อบทนี้เลยก็ว่าได้ รวมๆ ทั้งหมดนี้ทำให้กล้ารับประกันเลยว่าพอได้ดูแล้วคุณจะหลงรักตัวละครทุกตัวแน่นอน ไม่ว่าตัวละครตัวนั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ก็ตาม


และนอกเหนือจากที่พูดทั้งหมดแล้ว “ความแฟนตาซี” เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้เรื่องนี้ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ในโลกของ Game of Thrones นั้นมีทั้งเวทมนตร์เอย เทพเอย วัตถุและอาวุธศักดิ์สิทธิ์เอย คนที่ตายแล้วฟื้นได้เอย เด็ดสุดก็เห็นจะเป็นสิ่งมีชีวิตแฟนตาซีทั้งหลายแหล่ ทั้ง ไวท์วอล์กเกอร์ (ซอมบี้น้ำแข็ง) คนยักษ์ เด็กแห่งพงไพรผู้มีชีวิตยาวนานเป็นพันๆ ปี พ่อมดแม่มด หมาป่ายักษ์ และมังกร และนอกจากนี้ยังจะมีผู้มีพลังพิเศษที่สามารถควบคุมร่างกายสิ่งมีชีวิตอื่นกับนักฆ่าเปลี่ยนหน้าได้อีกด้วยนะ


แค่นี้ก่อนแล้วกัน ถ้าให้พูดถึงข้อดีของซีรีส์เรื่องนี้เดี๋ยวจะยาว เพราะพิมพ์ได้อีกเย้อออ เอาเป็นว่าถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วสนใจอยากดูก็ลองดูเลย ส่วนคนที่ไม่รู้จักแล้วลังเลว่าจะดูดีมั้ย ลองไปถามคนรอบตัวที่เป็นแฟนซีรีส์เรื่องนี้ดูว่า “Game of Thrones สนุกมั้ย?” คำตอบที่ได้จะเป็นเสียงเดียวกันและไม่ต่างจากที่ดิฉันเพิ่งพูดไปแน่นอน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Pages